วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

Anyu Side story - แพนโดร่าของนุ้งเจี๊ยบ Part I -



“ฝุ่นเริ่มจับซะแล้ว”

กล่องไม้ขนาดพอยัดเก็บใต้เตียงได้ถูกลากออกมา แม้จะหมั่นกวาดถูใต้เตียงบ่อยๆ แต่เพราะเจ้ากล่องนี้ถูกยัดไปอยู่ซะสุดเตียง ฝุ่นไรเล็กๆจึงจับกลุ่มกางอาณาเขตเต็มฝากล่อง

ผมใช้ผ้าบิดหมาดเช็ดถูจนเจ้ากล่องโสโครกกลับมาสดใสเหมือนเดิม

“เอาล่ะ แพนโดร่าจัง ผมกลับมาแล้วนะ” 

ผมยิ้มให้กล่องคู่ใจในมือก่อนเปิดฝาออกช้าๆ

.............
....




ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ..


โซนเล็กๆของร้านหนังสือที่จัดไว้สำหรับนักอ่านเฉพาะกลุ่ม หน้าปกสีสันสดใสถูกจัดวางเป็นระเบียบเชิญชวนให้เหล่าสาวกหยิบติดไม้ติดมือกลับบ้าน ชั้นหนังสือแผ่ออร่าแปลกประหลาดจนนักอ่านทั่วไปไม่ค่อยอยากเดินเฉียดเข้ามาใกล้นัก แม้แต่ตัวผมสมัยก่อนเองก็เช่นกัน แต่เวลานี้..

 "......"

หญิงสาวที่ยืนเลือกหนังสือใกล้ๆหันมามองเป็นตาเดียวแล้วป้องปากหัวเราะคิกคักกันสองคน เมื่อผมยืนเม้มปากจ้องหนังสือในมือเป็นนานเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนเริ่มซุบซิบอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากผมยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก อีกทั้งในร้านยังเงียบสนิทผมจึงได้ยินบทสนทนานั้นอย่างชัดเจน

“สงสัยถูกหลอกไม่ก็ถูกบังคับให้มาซื้อแน่เลย ฮิๆๆ”

ผมที่ไม่รู้จะแก้ต่างยังไงดีจึงได้แต่หันไปผงกหัวยิ้มแห้งๆพลางยกมือเกาท้ายทอยด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆให้

“อุ้ย..” หนึ่งในสองคนเห็นเข้าจึงชะงักไป

 “พยายามเข้านะคะ” เธอว่า แล้วกำมือให้กำลังใจผมก่อนลากเพื่อนสาวจากไปพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยหนังสือนับไม่ถ้วน

“จะพยายามครับ..” ผมตอบรับเสียงเบาไล่หลังพวกเธอก่อนหันกลับมาสนใจหนังสือในมือตามเดิม

ภาพวาดชายหนุ่มสองคนยืนแนบชิดกัน ชายคนตัวสูงนุ่งเพียงผ้าขนหนูสีขาวเปลือยท่อนบน แขนหนาโอบเอวชายหนุ่มที่ดูตัวเตี้ยกว่าแถมยังหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกไว้แน่น ถัดจากภาพหน้าปกเป็นชื่อเรื่องสีชมพูวิ้งวับ

วุ่นนักหลงรักคุณรูมเมท

“........” พอรู้ตัวอีกทีก็เผลอยืนจ้องพร้อมพยักหน้าให้กับหนังสือต่อแบบไม่รู้ตัว และคงจะยื่นนิ่งแบบนี้ต่อไปถ้ามือถือไม่สั่นเตือนเวลาขึ้นมาซะก่อน

“อ้ะ..สายแล้วๆ” ผมกดหยุดหน้าจอที่สั่นเตือนเหลือเวลา15นาทีก่อนเริ่มคาบแรกแล้วรีบจ้ำไปจ่ายเงินค่าหนังสือที่เคาน์เตอร์

พนักงานสาวเพียงเลิกคิ้วมองหน้าผมแว้บนึงทันทีที่เห็นปกหนังสือแต่ไม่ได้พูดอะไร

...ซึ่งผมค่อนข้างดีใจที่เธอเลือกจะเงียบเช่นนั้น...

พอได้รับเงินทอนจากพนักงานแล้วผมก็ไม่รั้งรอ คว้าหนังสือตรงไปโซนสำหรับใส่ถุงกระดาษ ร้านนี้ลูกค้าต้องบริการตัวเอง เนื่องจากนโยบายลดโลกร้อน ถุงที่มีให้จึงเป็นถุงกระดาษสีน้ำตาลปั้มตราร้านหนังสือไว้ตรงกลาง หากใครอยากได้ถุงพลาสติกก็มีเหมือนกันแต่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อมัน ปกติผมสะพายกระเป๋าติดตัวอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้ถุงกระดาษ แต่ครั้งนี้..

เจ้าหนังสือที่ทำให้ผมต้องหยุดยืนพินิจเกือบครึ่งชั่วโมงนี้วางหราบนโต๊ะไม้ ผมรีบควักกระดาษสีเนื้อที่ซื้อเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจัดแจงห่อทับปกอย่างรวดเร็ว หลังจากทดลองกางดูว่าไม่ได้ห่อแน่นหรือหย่อนเกินไปเสร็จ มือถือก็สั่นเตือนว่าเหลือเวลา10นาที

ผมรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าพร้อมวิ่งออกจากร้าน เลขบอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือนับถอยหลังทีละนิด และอีกไม่กี่นาทีก็คงจะสั่นเตือนเวลาอีกรอบ 

นิสัยชอบตั้งปลุกก่อนทำอะไรสักอย่าง เช่นเข้าเรียนหรือทำกิจกรรมที่ชมรมนี้ผมได้มาตอนทำงานพิเศษครั้งแรก เพราะชอบทำอะไรแบบจวนตัวจึงทำให้กะเวลาไม่ถูก แถมไปสายทั้งที่เป็นวันเริ่มงานวันแรกเกือบครึ่งชั่วโมง แม้พี่ๆที่ทำงานจะไม่ว่าอะไรแต่ผมในตอนนั้นรู้สึกแย่มาก นับแต่นั้นผมจะตั้งปลุกเตือนตัวเองเสมอและไม่เคยไปสายอีกเลย


 



“เซฟฟฟ” 

ตื้ดดดด...ดดดด

“สตีฟ รอยัล แอนโทนี่ที่2 โจมตีเป้าหมายย”

“อ้ะ.. คิโยจี้”

“อันจังมาแล้วล่ะ!

เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันทันทีที่ผมวิ่งเข้ามาในห้องเรียนรวม เครื่องบินกระดาษพุ่งใส่จังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือสั่นเตือนหมดเวลา

“อะไรกันนี่”
ผมก้มลงหยิบเครื่องบินกระดาษที่ส่วนหัวยับยู่ยี่เพราะเพิ่งบินมาปักหน้าผากตัวเองเมื่อครู่ขึ้นมา ทาคาดะ เจ้าของเครื่องบินตัวปัญหาและคนที่เรียกผมว่าคิโยจี้เดินเข้ามาหา

“สตีฟ รอยัล มิราเคิลที่ 3ยังไงล่ะ” ทาคาดะหยิบซากเครื่องบินไปจากมือก่อนดีดหน้าผากผมเปรี้ยะๆ “เหม่งคิโยจี้ยังทนทายาดเหมือนเดิมเลย”

“คิดจะทำลายเหม่งเรายังเร็วไปร้อยปี” ผมยืดหน้าผากรับอย่างภูมิใจก่อนยิ้มขบขัน จิ้มซากสตีฟ รอยัลในมืออีกฝ่าย “แล้วตอนแรกชื่อ สตีฟ รอยัล แอนโทนี่ ที่2 ต่างหากไม่ใช่เหรอ”

ไม่ทันที่ทาคาดะจะได้ตอบโต้อะไร มือบางจับหมับเข้าที่ต้นแขนผมตามมาด้วยเสียงเจือยแจ้ว

“อันจังๆ รีบไปนั่งที่กันดีกว่า ยูมิจองที่นั่งไว้ให้อันจังแล้วนะ” ยูมิ หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผมสีน้ำตาลแดงมัดเป็นก้อนดังโงะไว้ด้านข้าง ดวงตาสีเขียวอ่อนธรรมชาติที่ได้มาจากพ่อจ้องผมตาแป๋วพร้อมออกแรงดึงผมไปที่โต๊ะแถวที่สองโดยไม่รอคำตอบ

“ขอบคุณครับยูมิจัง” ผมหันไปยิ้มกว้างขอบคุณยูมิทันทีที่นั่งที่เรียบร้อยพลางหยิบอุปกรณ์มาเตรียมพร้อมสำหรับคาบแรก

“เป็นครั้งแรกเลยน้าที่อันจังมาช้ากว่าทัคจัง ทั้งที่ปกติต้องมาก่อนครึ่งชั่วโมงแท้ๆ”

“ใช่ อย่าบอกนะว่าวันนี้คิโยจี้ตื่นสาย” ทาคาดะตามมานั่งขนาบข้างก่อนเริ่มหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาพับเป็นรูปเครื่องบินอีกลำ

“ไม่มีทาง อันจังน่ะคงมัวแต่ช่วยพาคุณยายข้ามถนนจนมาช้าต่างหากใช่ไหมล่ะ” ยูมิที่ยกมือมากุมเหมือนขอพรเริ่มจมดิ่งกับจินตนาการโลกสดใสเหมือนเช่นทุกวัน

“ฮ่ะๆ ไม่ใช่หรอกครับยูมิจัง จริงๆแล้ววันนี้ผมไป..” 

“อ้ะ..เซนเซย์มาแล้ว” ยูมิพูดแทรกขึ้นเวลาเดียวกับที่อาจารย์ประจำวิชาก้าวเข้ามาในห้อง

“ไว้ค่อยบอกยูมิหลังจากนี้แล้วกันนะจ้ะ” หญิงสาวขยิบตาหนึ่งทีก่อนหันไปตั้งใจมองอาจารย์สลับกับกระดานหน้าห้อง ทาคาดะเองก็เลิกพับกระดาษแล้วจับปากกาเตรียมพร้อมจดเลคเชอร์ คนอื่นๆที่พูดคุยจ้อกแจ้กเมื่อครู่เงียบเสียงลงและเริ่มเข้าสู่บรรยากาศการเรียนการสอนเช่นกัน

บทเรียนวันนี้เกี่ยวกับการวิเคราะห์และตีความวรรณคดีตะวันตก อาจารย์บรรยายเนื้อหาไม่นานก็สั่งให้เลือกหัวข้อในหนังสือมาเขียนวิเคราะห์ก่อนปล่อยเวลาที่เหลือให้นักเรียนได้ทำงาน

ด้วยความเป็นคนอ่านเร็วแต่คิดช้าเขียนช้า เพื่อให้ทันคนอื่นผมจะกลับไปอ่านและทำแบบฝึกหัดล่วงหน้าอย่างน้อยสองบทเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมเลือกหัวข้อที่เคยลองเขียนมาแล้วและเป็นหัวข้อที่เขียนได้คล่องที่สุด ไม่นานบทวิเคราะห์ของผมก็เสร็จสมบูรณ์ พอลองเช็คเวลาก็พบว่าเพิ่งผ่านไปแค่เกือบๆยี่สิบนาทีเท่านั้น 

ยูมิจังกับทาคาดะยังทำไม่เสร็จเลย เอาไปส่งตอนนี้คงเร็วไป


ผมเริ่มมองหาอะไรทำฆ่าเวลา จะให้ฟุบหลับตอนนี้ก็ยังไม่ง่วง บทเรียนล่วงหน้าก็อ่านเตรียมไว้หมดแล้ว ฉับพลันสายตาก็สะดุดอยู่ตรงของบางอย่างที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าที่เปิดทิ้งไว้

หนังสือเล่มนั้น..

ผมหยิบหนังสือตัวต้นเหตุที่เกือบทำให้ผมมาสายขึ้นมา ถึงจะห่อปิดปกด้วยกระดาษสีไปแล้วแต่ภาพปกและชื่อเรื่องสีแจ๊นนั้นก็ยังติดตาผมจนถึงตอนนี้

ทำไมต้องซื้อเจ้านี่มาด้วยนะ?  ทำไมต้องอ่านอะไรแบบนี้ด้วย?

คำตอบมันง่ายมาก

เพราะว่าผมอยากเป็นคนรักที่ดียิ่งกว่านี้

ผมอยากทำให้เอซซังมีความสุขมากขึ้น

แม้ว่าผมจะไม่รู้จักโลกด้านที่เอซซัง... ด้านที่ผมกับเอซซังกำลังยืนอยู่มากนัก แต่ว่าผมจะไม่ยอมแพ้


....

..

"ผมไม่รู้ว่าการที่คนสองคนคบกัน..มันเป็นยังไง.."

"ผมจะพยายามเรียนรู้ให้มากขึ้นนะครับ.."

คำพูดในวันนั้นคอยย้อนกลับมาหาผมเสมอ ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องพยายาม ผมจะไม่รู้แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ พอคิดว่าจะเริ่มจากตรงไหนดีสองเท้าก็พาผมก้าวเข้าไปในร้านหนังสือ

ใช่ แหล่งความรู้ขั้นเบสิคก็ต้องเริ่มจากร้านหนังสือนี่นะ!

ผมเดินวนไปวนมาอยู่หน้าโซนที่สมัยก่อนผมไม่เคยคิดจะเฉียดเข้ามาใกล้สักนิด แม้ผมจะไม่ได้มีอคติกับหนังสือประเภทนี้อยู่แล้ว เพราะหนังสือแนวนิยายรักต่างๆนาๆนั้นผมไม่เคยอ่านเข้าใจและอินกับมันได้เลยสักที ถึงจะเป็นนิยายรักแบบธรรมดาทั่วไปก็ตาม ผมจึงไม่เคยแตะหนังสือประเภทนี้เลยสักครั้ง

หลังจากเดินวนๆดูสักพัก ผมตัดสินใจเดินตรงเข้าไป ลุยมันตรงๆนี่ล่ะ แค่หยิบมาสักเล่ม 

ยังไงก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักหมดอยู่แล้ว หลักการพื้นฐานก็น่าจะเหมือนกัน ถึงจะเป็นแบบผมกับเอซซัง..


ความรักแบบผมกับเอซซังและแบบธรรมดา..


ต่างกันงั้นเหรอ.. หรือว่าเหมือนกัน?


พอเริ่มคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ สิ่งที่คิดว่าตัวเองรู้จักพอลองวิเคราะห์ให้ดีก็พบว่า

ผมอาจจะไม่รู้หรือเข้าใจผิดมาตลอดก็ได้..

ทั้งที่บอกว่าตัวเองไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรักแท้ๆแล้วทำไมถึงรู้ว่าตัวเองมีรัก? ถ้าไม่รู้จักแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันใช่?


ในหัวเริ่มหนักอึ้ง ถ้าจริงๆแล้วความรู้สึกที่ผมมีให้เอซซังมันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ารักจะทำยังไง ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไร มันมีคำบัญญัติเอาไว้หรือยัง แล้วถ้าเป็นแบบนั้นความรู้สึกที่เอซซังมีให้ผมจะทำยังไง ถ้าเป็นเอซซังต้องรู้แน่ว่าความรักคืออะไร

 เอซซังที่ให้ความรักกับผมมาแต่กลับได้ความรู้สึกที่ไม่รุ้ว่าใช่รักหรือเปล่าตอบแทน  ผมจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายเอซซังงั้นหรือ?

ไม่..ไม่เอา ผมไม่อยากทำร้ายเอซซัง

ก่อนที่ผมจะเริ่มปล่อยโฮเพราะความวิตกจริตแบบไร้ขอบเขตของตัวเองในร้านหนังสือ ส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกก็เริ่มบอกให้ผมหยุดมโนอย่างไร้เหตุผลแบบนั้นแล้วตั้งสติใหม่ซะ

ผมผ่อนแรงเกร็งที่ตัวทันทีที่เริ่มตั้งสติได้ มันเหมือนกับมีไม้กวาดมากวาดๆเหล่าก้อนขยุกขยุยในหัวไปพักเก็บไว้ที่มุมหนึ่ง ถึงจะไม่ได้กำจัดทิ้งทันที แต่อย่างน้อยมันก็คงอยู่อย่างสงบชั่วเวลาหนึ่ง  


ความชื้นที่หางต่างบ่งบอกว่าแรงอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาครู่มีอิทธิพลมากถึงขนาดสั่งการให้ต่อมน้ำตาของผมทำงานได้  ผมรีบเช็ดๆน้ำตาที่หางตาก่อนขยี้หน้าแรงๆด้วยแขน เพราะเมื่อก่อนผมไม่เคยคิดอะไรที่มันซับซ้อนเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย เวลาเจอเรื่องที่ถูกประเมิณว่าจะนำพาความยุ่งยากมาให้ ผมจะเริ่มหนีทันที ผมไม่เคยเกลียดใคร พอๆกับที่ไม่เคยชอบใครอย่างลึกซึ้งจริงจัง ความรู้สึกที่ผมให้ทุกคนจึงเท่าเทียมเสมอ


จนกระทั่งได้ย้ายมาอยู่ที่หอพักนางิสะ เหมือนกับตัวผมถูกโยนลงเครื่องทำสายไหม แล้วกวนๆเสียใหม่ 

อา.. เรื่องการวิเคราะห์ตัวเองไว้ทำทีหลังก็แล้วกัน เพราะจุดประสงค์หลักวันนี้ของผมคือเจ้านี่!

หนังสือชื่อชวนจั๊กกะเดี๊ยมหัวใจ ถึงภาพปกจะไม่ค่อยต่างจากหนังสือที่อยู่รอบๆแต่่ชื่อเรื่องที่เห็นแล้วชวนเดจาวูนี่ ไม่คิดว่าให้บรรยากาศที่คุ้นเคยบ้างหรือ

ผมจ้องหนังสือตรงหน้าไม่วางตาและสงสัย  ความรักของรูมเมทคู่นี้จะเป็นยังไงกันนะ?


........

...

..


"อันจัง.. อันจัง เป็นไรไปน่ะ?" ยูมิจังที่เพิ่งทำงานเสร็จหันมาเขย่าเรียกผมด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังเจอสัตว์ประหลาดอายุพันปี

"..หือ.." ผมละจากบรรทัดสุดท้ายจากหน้าสุดท้ายของหนังสือ 
"เปล่า.. เปล่านี่ มีอะไรหรือครับ?" 

"ก็อันจังกำลังร้องไห้อยู่นี่นา" 

"อ้ะ.." พอลองแตะดูกลับพบว่าแก้มทั้งสองเปียกชื้นเพราะน้ำตาที่ไหนอาบไม่รู้ตัวจริงๆ "จริงด้วย ฮ่ะๆ สงสัยผมจะอินกับหนังสือมากไป ถ้างั้นผมขอไปล้างหน้าก่อนนะ ยังไงก็ไปเจอกันที่โรงอาหารเลยละกันครับ"

ผมรีบเก็บของใส่กระเป๋า ก่อนส่งงานแบบไม่รอใครแล้วตรงออกจากห้องทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงกริ่งหมดคาบดังขึ้น



ภาพสะท้อนจากกระจกตรงหน้าทำให้ผมตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก 

แค่เผลอร้องไห้กลางห้องเรียนนี่ก็แย่แล้ว แถมหน้าของผมยัง..

พวงแก้มทั้งสองข้างแดงเรื่ออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความจริงผมก็พอจะเดาได้ อาการแก้มแดงแถมรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้าแบบนี้ ผมกำลังเขินอยู่ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เคยเห็นตอนตัวเองหน้าแดง เพราะไม่เคยส่องกระจกตอนเขิน หมายความว่านี่คือใบหน้าที่เอซซังเห็นเวลาผมเขินใส่งั้นเหรอ..

อะ..ไร..กัน..

ยิ่งคิดหน้าที่เริ่มจางสีลงกลับยิ่งแดงขึ้น

"ขืนปล่อยไว้คงได้ไปกินข้าวทั้งหน้าแบบนี้แน่" หลังจากบี้ๆหน้าตัวเองพร้อมปรับลมหายใจช้าๆ

จากนี้ผมจะไม่ทำหน้าแสนน่าอายอย่างนี้ให้เอซซังเห็นอีก!

พอเริ่มควบคุมอารมณ์ได้อีกครั้ง สีฝาดบนหน้าก็ค่อยๆหายไปช้าๆ

ผมมองใบหน้าที่เริ่มกลับคืนเป็นปกติอย่างพอใจ

ถึงบอกยูมิไปว่าที่ผมร้องไห้เพราะอินกับหนังสือเมื่อครู่ แต่แม้แต่เนื้อเรื่องที่อ่านผ่านตากลับไม่เข้าหัวเลยสักนิด เพราะสิ่งที่ผมเห็นผ่านหน้าหนังสือกลับเป็นภาพในหัวสมองที่ราวกลับม้วนเทปซึ่งถูกอัดไว้ แล้วนำมาฉายซ้ำอีกรอบ 

ทุกอย่างชัดเจนเหมือนผมกลับไปอยู่ช่วงเวลานั้นอีกครั้ง





“สวัสดีครับอันยูซัง..”

"ครับ งั้นอยากรู้อะไรก็ถามได้เลยนะครับ ผมยินดีตอบทุกอย่าง"

"ก็ได้ครับ แต่ว่า... ขอผมดูฝ่ามืออันยูซังหน่อยนะครับ" 
"เป็นรอยจริงๆด้วย แต่ไม่เป็นแผล ซึ่งก็ดีแล้วล่ะครับ"


"อันยูซัง....ตอนคุณขอให้เล่าผมตอบอันยูซังว่ายังไงครับ?"
"แล้วทำไมอันยูซังยังคิดว่าผมลำบากใจอีกล่ะครับ หืม?"
"เพราะงั้น เงยหน้ามาแล้วฟังประวัติผมซะดีๆ"


"จริงๆผมมีอันยูซังเป็นรูมเมทคนแรกในชีวิตของผมนะครับ"


"ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับอันยูซัง?"

"ผมไม่มีทางเกลียดอันยูซังหรอกครับ"

"ผมชอบอันยูซังนะ คนอื่นก็ต้องชอบอันยูซังด้วยแน่ๆ เพราะงั้นผมยังอยู่กับอันยูซังตรงนี้เลย แปลว่าคนอื่นก็ต้องไม่หนีไปจากอันยูซังแน่ๆครับ"


"ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะครับ"
"แล้วทำไมอยากจับล่ะครับ? หุ่นผมก็ไม่ได้เป็นแบบเชลซีซังซักหน่อย"


"อันยูซังน่ารักจัง มือสั่นด้วย" 

"อันยูซัง...."

"ขอโทษนะครับ ผมไม่น่าทำแบบเมื่อกี้เลย" 
"อันยูซังยกโทษให้ผมนะครับ"


"อันยูซัง โกรธเหรอครับ?"
"เพราะผมไม่ใช้ช่วยถือของเหรอ?"

"ก็ช่วยมาเดินกับซื้อของเป็นเพื่อนแล้วไงครับ"


"อันยูซัง ผมมีอะไรจะบอกอันยูซังนะครับ..." 
 "ความรักที่สังคมต่อต้านน่ะ ผมเจอกับมันมาตั้งแต่ผมรู้จักรักใครซักคนแล้วล่ะครับ"


"ครับ อยู่ที่ญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะไม่โดนรังเกียจตอนที่มีคนรู้ แต่ก็ชักจะชินแล้วล่ะครับ" 
"แล้วหวังว่า....หลังจากนี้อันยูซังคงไม่รังเกียจที่ผมเป็นแบบนี้นะครับ"


"ทำไมไม่ลองดูก่อนล่ะครับ เผื่ออีกฝ่ายก็อาจจะมองอันยูซังอยู่นะ" 
"อ่า....ครับ แต่ถ้าเขาเป็นแบบผม หมายถึง....เป็นเกย์ มันก็น่าจะง่ายขึ้นล่ะมั้งครับ"
"ผมชักพูดไร้สาระแล้ว เอาเป็นว่าผมเอาใจช่วยนะครับ ขอให้คุณสมหวังกับคนๆนั้นนะ"


"ไม่..ครับ ถ้าสมมุติว่าเป็นผม.. ผมไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนครับ"


"เครื่องรางรักสมหวังครับ ผมให้"
"ผมขอให้อันยูซังสมหวังในเร็ววันนะครับ...
"แล้ว...อะไรที่คุณอาจจะอยากพูดหรืออยากทำกับเขา แต่พูดไม่ได้เลยมาสมมุติกับผมแทนน่ะ ช่วย...หยุดทำแบบนั้นซักทีเถอะนะครับ"

"เรื่องนั้นไว้ก่อนได้มั้ยครับ แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงอันยูซังนะ"


"ใครบอกให้ปิดครับ?" 
"ก็นอนไปสิครับ แล้วยื่นข้อเท้าที่โดนโซ่มาด้วย..." 

"อัน ยู ซัง..."

"ผมก็บอกว่านอนไป แต่ยื่นข้อเท้ามา" 
"งั้นทายาด้วยแล้วกันนะครับ ถือซะว่าผมขอ"
"ดูแลตัวเองด้วยนะครับอันยูซัง"


"แปลว่า....รักแรกที่อันยูซังพูดถึงมาตลอด....คือผม?"
"แล้วก็แปลว่า.... อันยูซังชอบผมด้วย...ใช่มั้ย"


"เพราะถ้าผมไม่หนีไปตอนนี้.... ผมคงจะทำตัวแย่ขึ้นเรื่อยๆให้คุณเห็น..."
"แล้วถ้าเป็นแบบน้น....ผมกลัวว่าซักวันคุณจะรับไม่ได้แล้วจากผมไป"


"ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น...."


"วันนี้...ขอนอนด้วยได้มั้ย..."

"คุณนอนไหน...ผมนอนด้วย"


……..
เจ้าก้อนขมุกขมัวถูกกวาดทิ้งออกไปทันที

ไม่ต้องเสียเวลาสงสัย หรือคิดมาก เพราะไม่ว่าตอนนั้น หรือตอนนี้

…….


"คือ...ได้ยินครับ แค่อยากฟังซ้ำหลายๆรอบ"


"I love you too, Anyu"
"ภาษาของบ้านเกิดผม ใช้เวลาจะบอกว่าชอบกับใครซักคนน่ะครับ"


ให้บอกเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยมั้ยครับ? ผมก็พูดเป็นนะ"


"งั้น...ผมเองก็รักคุณเหมือนกันนะ"
………
ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหรือคำตอบ
สิ่งนี้เป็นของจริง
 
……..
"ผมเคยเห็นในหนัง..เวลาเป็นแฟนกันแล้ว.. เขาจูบกันได้ใช่ไหมครับ..?"


"เอซซังหน้าแดงแล้ว"


"ตอนที่เอซซังไม่อยู่ ..ผมเหงามากเลยล่ะครับ.."


“เอซซัง.. ได้โปรดคบกับผมนะครับ"

…………

ผมน่ะ.. รักเอซซังมาก รักมาก มากๆๆๆๆ จนถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะครับ





To be part II….



-แต่งด้วยความอินดี้ล้วนๆ  
 
-ไทม์ไลน์ก่อนเจี๊ยบพ่นน้ำ

-ไม่ดราม่า(?)

-แต่มันเลี่ยนได้อีก(ผปค.เมากลูโคส)

-อยากบอกแม่เขยว่า จะขอลวนลามเขยคนนี้ตลอดไป /โดนตรบ
 
- พาร์ทแรกน้ำจิ้ม พาร์ทสองอินดี้กว่านี้ #ผิดมาก